วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

จักร ๔


จักร ๔
 หรือ ธรรมที่เป็นหลักปฏิบัติอันจะนำไปสู่ความดีงาม ความเจริญก้าวหน้า หรือ ธรรมที่เป็นเครื่องช่วยให้สามารถสร้างความดีอื่นๆได้ ทุกอย่าง และช่วยให้ประสบความเจริญก้าวหน้าในชีวิต อย่างมั่นคง 
  ๑. ตั้งอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม (ปฏิรูปเทส วาสะ)  ปฏิรูป แปลว่า เหมาะสมหรือสมควร เทสะ แปลว่าสถานที่หรือท้องถิ่น ดังนั้น  ปฏิรูปเทส วาสะ จึงควรหมายถึงการอยู่ในท้องถิ่นอันสมควร คืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีมีความพร้อม แต่บางท่านก็แปลว่า การอยู่ในประเทศอันสมควรซึ่งฟังแล้วยากต่อการปฏิบัติหรืออาจก่อให้เกิดจินตนาอื่นที่คลาดเคลื่อนต่อไปได้ สำหรับ คนฝรั่งให้ความหมายของ “ปฏิรูปเทส วาสะ”  ว่า living in a suitable region; good or favourable environment หรือ residing in a suitable locality คนจีนให้ความหมายว่า “ฮวงจุ้ย” หรือ ศาสตร์แห่งการสร้างความสมดุลย์ให้กับชีวิต และความเจริญรุ่งเรืองในกิจการ หลักการเลือกทำเลพื้นที่และเทคนิคการจัดสมดุลของพื้นที่ให้เหมาะสมกับประเภทของกิจการนั้น ๆ  อย่างไรก็ตาม "ปฏิรูปเทส วาสะ" มีความสำคัญ เป็นธรรมข้อแรกที่พระพุทธองค์นำมาเป็นคำสอนเพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
   ๒. เสาะเสวนากับคนดี (สัปปุริ สูปัสสยะ) หมายถึง คบสัตบุรุษ, คบคนดี, ได้คนดีเป็นที่พึ่งเช่นเดียวกับการที่ผู้น้อย ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ตามฐานะของตน เรามาพิจารณาในรายละเอียดว่า สัตบุรุษ หมายถึงอะไร สัตบุรุษก็คือคนที่มีคุณธรรม คนที่เป็นสัมมาทิฐิ คนที่ประพฤติธรรมเป็นปกติ ในทางปฏิบัติคือคนที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ  สัปปุริสธรรมมี ๗ ประการ ดังนี้  ๑) อัตถัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์สาเหตุของสถานการณ์และความเป็นไปของชีวิต  ๒) ธัมมัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์สาระและผลอันเกิดจากสาเหตุดังกล่าว  ๓) อัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์ตนเองทั้งในด้านความรู้ คุณธรรม และความสามารถ  ๔) มัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักหลักของความพอดี การดำเนินชีวิตพอเหมาะพอควร  ๕) กาลัญญุตา คือ ความเป็นรู้จักปฏิบัติตนให้ถูกกาลเทศะ  ๖) ปริสัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้ปฏิบัติ การปรับตนและแก้ไขตนให้เหมาะกับสภาพของกลุ่มและชุมชน  ๗) ปุคคลัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับบุคคลที่มีความแตกต่างกัน  สรุปว่าคนดีที่พระพุทธศาสนายกย่อง มิได้เป็นคนงมงายหรือเป็นคนซื่อจนเซ่อ แต่เป็นคนฉลาดมีเหตุผล รู้จักใช้ความคิด วางตัวได้ดีและมีมนุษย์สัมพันธ์ที่เหมาะสม คนฝรั่งให้ความหมายของ “สัปปุริ สูปัสสยะ” ไว้ว่า association with good people นอกจากนั้นยังสอนให้ในการทำธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องมีที่ปรึกษา ผู้มีประสบการณ์ มีความเก๋าเกมส์ สำหรับให้คำแนะนำ ให้รู้จักศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งเป็นการศึกษาที่เร็วที่สุด แล้วนำมาเป็นบทเรียนหรือประยุกต์ใช้กับตนเอง     ๓. ตั้งตนไว้ถูกวิถี (อัตตสัมมา ปณิธิ) หมายถึง การตั้งเป้าหมายของชีวิต ทั้งร่างกายจิตใจ คิดมุ่งหมาย นำตนไปให้ถูกทาง เพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายที่ดี คนฝรั่งให้ความหมายของ “อัตตสัมมา ปณิธิ”  ไว้ว่า setting oneself in the right course; aspiring and directing oneself in the right way; perfect self-adjustment; thorough pursuit or development of one’s personality ดังนั้น อัตตสัมมา ปณิธิ จึงหมายถึง การไม่คิด ไม่พูด หรือไม่ปฏิบัติตนออกนอกลู่นอกทางไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ยังดำรงอยู่ในวิถีทางที่ถูกต้องเสมอทุกอย่างล้วนมุ่งสู่เป้าหมายคือความสำเร็จ ความก้าวหน้าของชีวิตตลอด ทั้งนี้จะต้องทราบถึง “สัปปุริสธรรม ๗” คือ เป็นผู้รู้จักใน เหตุ, ผล, ตน, ประมาณ, เวลา, บุคคล และประชุมชน   
 ๔. เป็นผู้มีกรรมเก่ามาดี (ปุพเพ กต ปุญญตา) หมายถึงเป็นผู้มีกรรมเก่ามาดี เพื่อสอนให้คนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หากปัจจุบันยังไม่เจริญก้าวหน้าก็ควรเร่งทำความดี ภายหน้าก็จะพบกับความเจริญก้าวหน้าในที่สุดจนได้ ข้อที่ ๔ ซึ่งได้แก่ ปุพเพ กต ปุญญตา หมายถึงเป็นผู้มีกรรมเก่ามาดี เพื่อสอนให้คนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หากปัจจุบันยังไม่เจริญก้าวหน้าก็ควรเร่งทำความดี ภายหน้าก็จะพบกับความเจริญก้าวหน้าในที่สุดจนได้  คนฝรั่งให้ความหมายว่า having formerly done meritorious deeds; to have prepared oneself with good background    

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สมชีวิธรรม๔


  • ฆราวาส หรือ ผู้ครองเรือน ที่จะเป็นคู่สร้างคู่สม คู่ครองที่ดี เป็นคู่ร่วมชีวิตโดยไม่มีการหย่าร้าง จะต้องไม่เอากามคุณ ความใคร่มาเป็นตัวนำชีวิต แต่จะต้องใช้หลักสมชีวิธรรม มาเป็นหลักในการใช้ชีวิตคู่ให้ยืนยาว และข้อปฏิบัติที่จะทำให้ชีวิตคู่ยั่งยืน ก็คือ
    • 1 สมสัทธา    มีศรัทธาเสมอกัน ด้วยกัน เหมือนกัน คือมีเคารพนับถือในลัทธิศาสนาใด สิ่งเคารพบูชาใด แนวความคิดอย่างไร หลักการต่างๆ ตลอดจนแนวความสนใจในเรื่องใด ต้องเป็นอย่างเดียวกัน หนักแน่นเสมอกัน หรือปรับเข้าหากัน ลงกันได้
    •  2 สมสีลา    มีศีลสมกัน คือมีความประพฤติ ศีลธรรม จรรยา มารยาท พื้นฐานการอบรม พอเหมาะสอดคล้องไปกันได้
    •  3 สมจาคะ  มีจาคะเสมอกัน คือมีความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี ใจกว้าง เสียสละ พร้อมที่จะเกื้อกูลช่วยเหลือญาติมิตร ของกันและกัน ไม่มีความขัดแย้งบีบคั้นกัน
    •  4 สมปัญญา ต่างก็มีเหตุผล มีวิจารณญาณที่ดี พูดกันรู้เรื่อง
      http://www.suwalaiporn.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=389701&Ntype=6
  • จะเห็นได้ว่าหลักธรรมที่กล่าวมาทั้ง 4 หลักธรรม คือ ฆราวาสธรรม  อธิษฐานธรรม อารยวัฒิ และ สมชีวิธรรม ล้วนมีเรื่องของความเสียสละ หรือ จาคะ เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น การเสียสละ เป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ ทำให้บุคคลนั้นมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตน มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ดังภาพของสังคมไทยสมัยโบราณที่มีความยึดมั่นศรัทธาในพระรัตนตรัย จะไม่มีการซื้อขายสินค้า ข้าวสักหม้อ น้ำสักขัน ขอกันกินได้ วันนี้
    แกงส้มสักหม้อไปทำบุญที่วัด เลี้ยงพระแล้วก็ตักแจกแลกอาหารกัน ตอนไปวัดมีอาหารอย่างเดียว แต่พอไปถึงวัดได้กินมากกว่าแกงส้ม แต่ในปัจจุบันสังคมชาวพุทธละเลยจากหลักธรรมคำสอนเพราะความไม่รู้ หรือจำไม่ได้ทำให้น้ำใจ หรือความเสียสละ ค่อยเลือนหายไป และ ความเห็นแก่ตัว ความละโมบโลภมาก เห็นแก่ได้เข้ามาแทนที่ สังคมไทยวันนี้จึงต้องการประชากรที่มีคุณลักษณะความเป็นคนเสียสละ เป็นอย่างมาก

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

ความบริสุทธิ์ ๔ อย่าง

พระอานนท์แสดงธรรมแก่ราชบุตรแห่งโกลิยกษัตริย์ ชาว สาปุคนิคมหลายองค์ ถึงองค์แห่งความเพียร เพื่อความบริสุทธิ์ ๔ อย่าง คือองค์แห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์
แห่งศีล.
แห่งจิต,
แห่งทิฏฐิ ( ความเห็น )
และแห่งวิมุติ ( ความหลุดพ้น )

โดยชี้ไปที่การสำรวมในพระปาฏิโมกข์, การเข้าฌาน ๔, การรู้อริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริง, การทำจิตให้คลายกำหนัดในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด การเปลื้องจิตในธรรมที่ควร เปลื้องโดยลำดับครบ ๔ ข้อ.

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

สัจจะของพราหมณ์ ๔ ประการ

ตรัสแสดงสัจจะของพราหมณ์ ๔ ประการ แก่นักบวชลัทธิอื่น คือ
๑. สัตว์ทั้งปวงไม่ควรฆ่า
๒. กามไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
๓. ภพทั้ง ปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
๔. พราหมณ์ไม่ยึดถือสิ่งใด ๆ .

นักรบประกอบด้วยองค์ ๔

ทรงแสดงนักรบประกอบด้วยองค์ ๔
ว่า ควรแก่พระ ราชา คือ
 ๑. ฉลาดในภูมิประเทศเทียบด้วย ภิกษุผู้มีศีล
 ๒. ยิงไกล เทียบด้วยภิกษุผู้เห็นด้วยปัญญาตามเป็นจริง ไม่ ยึดถือขันธ์ ๕
 ๓. ยิงไว เทียบด้วยภิกษุผู้รู้อริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริง
๔. ทำลายกายใหญ่ เทียบด้วยภิกษุผู้ทำลายกองแห่งอวิชชาใหญ่ได้.

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

ปฏิสัมภิทา ( ความแตกฉาน ) ๔ อย่าง

พระสาริบุตรแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ถึงปฏิสัมภิทา ( ความแตกฉาน ) ๔ อย่างที่ท่านทำให้แจ้ง คือ

ความแตกฉานในอรรถ ( เนื้อความ ),
ในธรรม ( คำสอน ),
ในนิรุตติ (ภาษาพูด )
และในปฏิภาณ ( ญาณความรู้ )

เป็นเหตุให้ท่านตอบปัญหาได้ในที่เฉพาะพระพักตร์พระศาสดา.

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

การได้อัตตภาพ ๔ อย่าง ที่เนื่องด้วย

ทรงแสดงว่า เมื่อมีกาย วาจา ใจ
สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะมีเจตนาทางกาย วาจา ใจ เป็นเหตุ, หรือเพราะอวิชชา ( ความไม่รู้ ) เป็นปัจจัย เกิดสุขทุกข์ภายในขึ้น เพราะปรุงกาย สังขาร,วจีสังขาร, มโนสังขาร
 ( ปรุงเจตนาทางกาย วาจา ใจ ) เองก็ตาม, ผู้อื่นปรุงก็ตาม
 ( ผู้อื่นชักชวน ) รู้ตัวก็ตาม
( ทำไป อย่างผู้รู้ผิดชอบ ) ไม่รู้ตัวก็ตาม
 ( ทำไปอย่างไม่รู้ผิดชอบ ) อวิชชาชื่อว่าตกไปตามในธรรมเหล่านั้น คือเกี่ยวข้องอยู่ทั่วไป ) เพราะดับอวิชชาได้โดยไม่เหลือ อื่น ๆ ก็ดับไปด้วย.
 แล้วทรงแสดงการได้อัตตภาพ ๔ อย่าง ที่เนื่องด้วย เจตนาของตนบ้าง ของผู้อื่นบ้าง แล้วตรัสตอบปัญหาของพระสาริบุตร เรื่องผู้ที่มาเกิดและไม่มาเกิดอีก.

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

บุคคล ๔ผู้ต้อง ใช้และไม่ต้องใช้ความเพียรดับกิเลส

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงบุคคล ๔ ประเภท คือ
๑. ผู้ต้อง ใช้ความเพียรดับกิเลสได้ในปัจจุบัน
๒. ผู้ต้องใช้ความเพียร ดับกิเลสได้เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว
๓. ผู้ไม่ต้องใช้ความเพียร ดับกิเลส ได้ในปัจจุบัน
๔. ผู้ไม่ต้องใช้ความเพียร ดับกิเลสได้เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว
 ( สองประเภทแรกตรัสอธิบายในทางผู้ปฏิบัติสายวิปัสสนา สองประเภทหลังตรัสอธิบายในทางผู้ปฏิบัติสายสมถะ ส่วนที่ดับกิเลสได้ในปัจจุบัน หรือเมื่อตายไปแล้ว ขึ้นอยู่แก่อินทรีย์ คือ ธรรมอันเป็นใหญ่ มีกำลังแรงหรืออ่อน ).

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

ปฏิปทา ๔ อย่าง

ทรงแสดงปฏิปทา ๔ อย่าง

มีชื่อเดียวกัน แต่ต่างใน คือ

๑. ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า

๒. ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว

๓. ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า

๔. ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว.


ทรงแสดงปฏิปทา ๔ อย่าง

 มีชื่อเดียวกัน แต่ต่างใน คือ

๑. ปฏิบัติไม่อดทน

๒. ปฏิบัติอดทน

๓. ปฏิบัติข่ม

๔. ปฏิบัติสงบ.

พระมหาโมคคัลลานะตอบพระสาริบุตร ว่า ท่านอาศัย การปฏิบัติลำบาก และรู้ได้ช้า มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ.

พระสาริบุตรตอบพระมหาโมคคัลลานะ ว่า ท่านอาศัย การปฏิบัติสะดวก และรู้ได้เร็ว มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ.

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

ธรรม ๔เป็นไปเพื่ออันตรธานแห่งพระสัทธรรม

ตรัสแสดงธรรม ๔ อย่างว่า เป็นไปเพื่อความเลอะเลือน เพื่ออันตรธาน แห่งพระสัทธรรม คือ
 ๑. ภิกษุทั้งหลายเรียนพระสูตรด้วยบทพยัญชนะที่ยกขึ้นผิด มีเนื้อความอันแนะนำผิด
๒. ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ว่ายาก
๓.ภิกษุผู้สดับตรับฟังมากไม่สอนผู้อื่นให้ท่อง จำพระสูตรโดยเคารพ เมื่อภิกษุผู้สดับฟังมากเหล่านั้นล่วงลับไป พระสูตรก็ชื่อว่ามีมูลรากอันขาด ( ไม่มีผู้ทรง จำได้ ) ก็ไม่เป็นที่พึ่ง
๔. ภิกษุผู้เป็นเถระเป็นผู้มักมาก ย่อหย่อน เอาแต่นอนหลับทอดธุระในความสงัด ไม่ปรารภ ความเพียรเพื่อบรรลุธรรมที่ยังมิได้บรรลุ ทำให้คนรุ่นหลังถือเป็นตัวอย่าง.
ในทางดีทรงแสดงโดยนัย ตรงกันข้าม.

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

โรคของบรรพชิต ๔ อย่าง

แล้วทรงแสดงโรคของบรรพชิต ๔ อย่าง คือการที่ภิกษุ มีความปรารถนามาก ไม่สันโดษด้วยปัจจัย ๔ ตั้งความปรารถนาเพียรพยายาม เพื่อไม่ถูกดูหมิ่น เพื่อได้ลาภสักการะ ชื่อเสียง

 ๑. เข้าสู่สกุล ๒. นั่ง ๓. กล่างธรรม ๔. กลั้นอุจจาระปัสสาวะ เพื่อให้เขารู้จักตน.

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

กัปป์ที่นับไม่ได้ ๔ อย่าง

ทรงแสดงกัปป์ที่นับไม่ได้ ๔ อย่าง คือ


  • สังวัฏฏกัปป์.

  • สังวัฏฏัฏฐายีกัปป์,

  • วิวัฏฏกัปป์,

  • วิวัฏฏัฏฐายีกัปป์
 
ทั้งสี่กัปป์นี้นับไม่ได้โดยง่ายว่า เท่านี้ปี, เท่านี้ ร้อยปี, พันปี, แสนปี.
 

กำลัง ๔ อย่าง

ทรงแสดงกำลัง ๔ อย่าง แบ่งเป็น ๔ นัย คือ
 ๑. กำลังคือความเชื่อ, ความเพียร, ความตั้งใจมั่น, ปัญญา.
 ๒. กำลังคือปัญญา, ความเพียร, ความไม่มีโทษ, การสงเคราะห์.
 ๓. กำลังคือความระลึกได้, ความตั้งใจมั่น, ความไม่มีโทษ, การสงเคราะห์.
 ๔. กำลังคือการ พิจราณา, การอบรม, ความไม่มีโทษ, การสงเคราะห์.

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

พระองค์พึงทราบได้โดยฐานะ ๔

ทรงแสดงฐานะ ๔ ที่พึงทราบได้โดยฐานะ ๔ คือ
๑. ศีล พึงทราบได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน
๒. ความสะอาดพึงทราบได้ด้วยการสนทนา
๓. กำลัง ( ใจ ) พึงทราบได้ในเวลามีอันตรายเกิด ขึ้น
๔. ปัญญา พึงทราบได้ด้วยการถาม การตอบ.

ทั้งสี่ข้อนี้ ต้องอาศัยเวลานาน และผู้ทราบก็ต้องใส่ใจและมีปัญญา.

http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/1304.html

พระไตรปิฎกฉบับประชาชน


วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

กำเนิด ๔

๑. ชลาพุชกำเนิด ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดา คลอดออกมาเป็นตัวเลย แล้วค่อย ๆ เติบโตขึ้นตามลำดับ
๒. อัณฑชกำเนิด ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดาเหมือนกัน แต่มีฟองห่อหุ้ม
๓. สังเสทชกำเนิด ไม่ได้อาศัยเกิดจากท้องมารดา แต่อาศัยเกิดจากต้นไม้ ดอกไม้ โลหิต หรือที่เปียกชื้น
๔. โอปปาติกกำเนิด ไม่ได้อาศัยเกิดจากท้องมารดา ไม่ได้อาศัยสิ่งใดเกิด แต่ เกิดโดยโผล่ขึ้นมาและโตใหญ่เต็มที่ในทันทีทันใดนั้นเลย สัตว์ที่เป็นโอปปาติกกำเนิด

http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd25.htm

ปฏิสัมภิทา หมายถึงปัญญาแตกฉานมี ๔



ปฏิสัมภิทา หมายถึงปัญญาแตกฉานมี ๔ ประการ คือ

(๑) อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ
(๒) ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม
(๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติคือภาษา
(๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ (ขุ.ขุ.อ. ๘/๒๐๖)

อุปาทาน 4

อุปาทาน 4 อย่าง
  1. กามุปาทาน ยึดติดในกาม
  2. ทิฏฐุปาทาน ยึดถือในทิฏฐิ
  3. สีลัพพัตตุปาทาน ติดยึดในศีลวัตรที่งมงาย
  4. อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นในตัวเอง ของตัวเอง
พุทธภาษิตมีอยู่ว่า "เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์"
ดังนั้น เบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้นหาเป็นทุกข์ไม่ ฉะนั้น คำว่าบริสุทธิ์หรือหลุดพ้นจึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า"ตัวเรา" ว่า"ของเรา"นี้โดยตรง ดังมีพุทธภาษิตว่า
  "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน"

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

สภาพแห่งทุกข์เป็นทุกข์๔

สภาพที่บีบคั้นแห่งทุกข์ ๑
สภาพแห่งทุกข์ อันปัจจัยปรุงแต่ง ๑
สภาพที่ให้เดือดร้อน ๑
สภาพที่แปรไป ๑

สภาพแห่งทุกข์เป็นทุกข์๔ ประการนี้ เป็นของแท้



สภาพ
ความหมาย
น. ความเป็นเองตามธรรมดาหรือตามธรรมชาติ เช่น สภาพความเป็นอยู่ สภาพดินฟ้าอากาศ, ลักษณะในตัวเอง; ภาวะ, ธรรมชาติ. (ป. สภาว; ส. สฺวภาว).


แปร
ความหมาย
[แปฺร] ก. เปลี่ยนกลายไปจากลักษณะหรือภาวะเดิม.

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

อาหาร ๔

อาหาร ๔ อย่างเป็นไฉน? คือ
             ๑ อาหาร คือ คำข้าว หยาบหรือละเอียด
             ๒ อาหาร คือ ผัสสะ
             ๓ อาหาร คือ ความคิดอ่าน [จงใจ]
             ๔ อาหาร คือ วิญญาณ [ความรู้แจ้งทางทวาร ๖]

http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=1518&Z=1753&pagebreak=0

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔



  

สถานที่ควรเห็นควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธาว่า

พระตถาคตประสูติ ณ ที่นี้ ๑

พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้ ๑

พระตถาคตทรงประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ณ ที่นี้ ๑

พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิ-เสสนิพพานธาตุ ณ ที่นี้ ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิด

ความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔

แห่งนี้แล.

จบสังเวชนียสูตรที่  ๘


ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ    ย่อมเป็นผู้ควร
ของคำนับ    ควรของต้อนรับ   ควรแก่ทักษิณา   ควรทำอัญชลี    เป็นนาบุญ
ของโลก   ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า   ฉันนั้นเหมือนกันแล   ธรรม  ๔  ประการ
เป็นไฉน     คือ  ซื่อตรงประการ  ๑   ว่องไวประการ    ๑  อดทนประการ  ๑
สงบเสงี่ยมประการ  ๑    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม  ๔
ประการนี้แล    ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ   ควรของต้อนรับ    ควรแก่ทักษิณา
ควรทำอัญชลี  เป็นนาบุญของโลก  ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า

.http://www.thepalicanon.com/91book/book35/301_350.htm

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปรมัตถธรรมมี ๔

ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ
จิตปรมัตถ์ ๑  
เจตสิกปรมัตถ์ ๑
รูปปรมัตถ์ ๑
นิพพานปรมัตถ์ ๑

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เทศนาวิธี 4

เทศนาวิธี หรือ พุทธลีลาในการสอน หมายถึง การสอนของพระพุทธเจ้าในแต่ละครั้ง ที่ประกอบด้วยคุณลักษณะ ๔ ประการ

เทศนาวิธี ๔
๑.สันทัสสนา คือ ชี้แจงเรื่องที่ทรงสอนให้เห็นชัดเป็นการแยกแยะ อธิบาย และแสดงเหตุผลให้ชัดเจนจนผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้ง เห็นจริงเห็นจัง ดังได้เห็นกับตา

๒.สมาทปนา คือ ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เป็นการสอนให้เห็นว่าสิ่งใดควรปฏิบัติก็แนะนำหรือบรรยายให้ซาบซึ้งในคุณค่าและเห็นความสำคัญที่จะต้องฝึกฝน จนยอมรับและนำไปปฏิบัติ

๓.สมุตเตธนา คือ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า เป็นการปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้น เกิดความอุตสาหะมีกำลังใจที่จะทำให้สำเร็จลงได้

๔.สัมปหังสนา คือ ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงเป็นการการบำรุงจิตให้แช่มชื่นเบิกบาน เห็นคุณประโยชน์ที่จะได้รับ และทางที่จะก้าวหน้าบรรลุผลสำเร็จยิ่งขึ้นไป ทำให้ผู้ฟังมีความหวังและเบิกบานใจ

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภัย 4

ภัย ๔ ประการนี้ ภัย ๔ ประการเป็นไฉน คือ 
อัคคีภัย ๑
อุทกภัย ๑ 
ราชภัย ๑ 
จรภัย ๑ นี้แลภัย

 


อัตตานุวาทภัย ภัยเกิดแต่การติเตียนตนเอง ๑

ปรานุวาทภัย ภัยเกิดแต่ผู้อื่นติเตียน ๑

ทัณฑภัย ภัยเกิดแต่อาญา ๑

ทุคติภัย ภัยเกิดแต่ทุคติ ๑



http://www.thepalicanon.com/91book/book35/301_350.htm


 
 

สิ่งที่น่ากลัว 4

ก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย (สิ่งที่น่ากลัว) ๔ ประการนี้ ภัย ๔ ประการเป็นไฉน คือ 
ชาติภัย ๑ 
ชราภัย ๑ 
พยาธิภัย ๑ 
มรณภัย ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล ภัย ๔ ประการ.

ปฐมภยสูตรที่ ๙

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 4

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ก็ฉันนั้น
เหมือนกันแล ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควร
แก่ทักษิณา เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็น
ผู้สำเหนียก ๑ กำจัด ๑ อดทน ๑ ไปได้เร็ว ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุ
เป็นผู้สำเหนียกอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จดจำ กระทำธรรมวินัยนี้อัน
พระตถาคตประกาศแล้ว ทรงแสดงอยู่ไว้ในใจ ประมวลธรรมวินัยทั้งปวงไว้
ด้วยใจ เงี่ยโสตลงสดับธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้สำเหนียก
อย่างนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้กำจัดอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ย่อมให้ตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้พินาศ ให้ถึงความไม่มี

ซึ่งกามวิตกอันบังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมให้ตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อม

กระทำให้พินาศ ให้ถึงความไม่มี ซึ่งพยาบาทวิตกอันบังเถิดขึ้นแล้ว ย่อมให้

ตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมละ. ย่อมบรรเทา ย่อมกระทำให้พินาศ ให้ถึงความไม่มี ซึ่ง

วิหิงสาวิตกอันบังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมให้ตั้งอยู่ไม่ได้ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อม

กระทำให้พินาศ ให้ถึงความไม่มี ซึ่งธรรมอันเป็นบาปอกุศล อันบังเกิดขึ้นแล้ว

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้กำจัดอย่างนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้อดทนอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้อดทนต่อความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย สัมผัสแห่ง

เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื่อยคลาน เป็นผู้มีปกติอดทนต่อคำกล่าว

อันหยาบคาย ร้ายกาจ ที่บังเกิดขึ้นแล้ว ต่อทุกขเวทนาเป็นไปทางสรีระ

กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ แทบจะนำชีวิตไปเสีย ดูก่อน-


พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 309

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้อดทนอย่างนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้ไปได้เร็วอย่างไร ภิกษุในธรรม

วินัยนี้ ทิศใดที่ตนไม่เคยไป โดยกาลนานนี้ คือ ความระงับสังขารทั้งปวง

ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ

นิพพาน เป็นผู้ไปสู่ทิศนั้นได้เร็ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ไปได้เร็ว

อย่างนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล

ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เป็น

ผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า.

จบนาคสูตรที่

ช้างตัวประเสริฐ 4

ช้างตัวประเสริฐของพระราชา ในโลกนี้

 

เป็นสัตว์สำเหนียก  ๑ 
กำจัด ๑ 
อดทน ๑   
ปได้เร็ว ๑
 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชาเป็นสัตว์สำเหนียกอย่างไร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชา ในโลกนี้ ย่อมเอาใจใส่
มนสิการถึงเหตุการณ์ที่นายควาญช้างจะให้กระทำ ที่ตนเคยทำก็ตาม ไม่เคยทำ
ก็ตาม ประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ด้วยใจ คอยเงี่ยโสตสดับอยู่ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา เป็นสัตว์สำเหนียกอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชา เป็นสัตว์กำจัด
อย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา ในโลกนี้ เข้าสู่
สงครามแล้ว ย่อมกำจัดช้างบ้าง พลช้างบ้าง ม้าบ้าง พลม้าบ้าง รถบ้าง
พลรถบ้าง พลเดินเท้าบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา
เป็นสัตว์กำจัดอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชาเป็นสัตว์อดทน
อย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา ในโลกนี้ เข้าสู่
สงครามแล้ว เป็นสัตว์อดทนต่อการประหารด้วยหอก ต่อการประหารด้วยดาบ
ต่อการประหารด้วยหลาว ต่อเสียงระเบงเซ็งแซ่แห่งกลองบัณเฑาะว์สังข์และ
มโหระทึก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชาเป็นสัตว์อดทน
อย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างตัวประเสริฐของพระราชา เป็นสัตว์ไปได้
เร็วอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชาในโลกนี้
นายควาญช้างจะใช้ไปสู่ทิศใด ตนจะเคยไปหรือไม่เคยไปก็ตาม ย่อมเป็นสัตว์
ไปสู่ทิศนั้นเร็วพลันทีเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชา
เป็นสัตว์ไปได้เร็วอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างตัวประเสริฐของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๔
นี้แล ย่อมเป็นสัตว์ควรแก่พระราชา เป็นช้างต้น ถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะ. 
 

ม้าอาชาไนย4

ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา

ประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ ย่อมเป็นม้าควรแก่พระราชา เป็นม้าต้น ย่อม
ถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะ องค์ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ชื่อตรงประการ ๑
ว่องไวประการ ๑  
อดทนประการ ๑   
สงบเสงี่ยมประการ ๑
ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๔  ประการนี้แล

บุคคล ๔ อย่าง

[๒๗๔] บุคคล ๔ อย่าง ๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน เป็นผู้ขวนขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่องทำตนให้เดือดร้อน ฯ ๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นผู้ขวนขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ฯ ๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน เป็นผู้ขวนขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่องทำตนให้เดือดร้อนด้วย เป็นผู้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นผู้ขวนขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย ฯ
๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน ไม่เป็นผู้ขวนขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่องทำตนให้เดือดร้อนด้วยเป็นผู้ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนไม่เป็นผู้ขวนขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย เขาไม่ทำตนให้เดือด ร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นผู้หายหิวดับสนิท เยือกเย็น เสวยความสุขมีตนเป็นเสมือนพรหมอยู่ในปัจจุบัน ฯ


[๒๗๕] บุคคลอีก ๔ อย่าง ๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ฯ ๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ฯ ๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ฯ ๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนด้วยเพื่อประโยชน์ผู้อื่นด้วย ฯ

[๒๗๖] บุคคลอีก ๔ อย่าง ๑. บุคคลผู้มืดมา กลับมืดไป
๒. บุคคลผู้มืดมา กลับสว่างไป
๓. บุคคลผู้สว่างมา กลับมืดไป ๔. บุคคลผู้สว่างมา กลับสว่างไป ฯ
[๒๗๗] บุคคลอีก ๔ อย่าง ๑. สมณมจละ [เป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหว] ๒. สมณปทุมะ [เป็นสมณะเปรียบด้วยดอกบัวหลวง] ๓. สมณปุณฑรีกะ [เป็นสมณะเปรียบด้วยดอกบัวขาว] ๔. สมเณสุ สมณสุขุมาละ [เป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อนในสมณะทั้งหลาย ฯ]

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมมีประเภทละ ๔ เหล่านี้แล อันพระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบแล้วพวกเราทั้งหมดด้วยกันพึง
สังคายนา ไม่พึงแก่งแย่งกันในธรรมนั้น การที่พรหมจรรย์นี้พึงยั่งยืนตั้งอยู่นานนั้น พึงเป็นไป เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมากเพื่อความอนุเคราะห์แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฯ จบหมวด ๔


พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
หน้าที่ ๑๙๔/๒๘๘ข้อที่ ๒๗๘-๒๘๐

http://etipitaka.com/read?keywords=%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%86%E0%B8%B0&language=thai&number=188&volume=11#

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อริยสัจ 4

อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ
1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5
2. ทุกขสมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ
3. ทุกขนิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง
4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ 1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ 2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ 3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ 5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ 6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ 7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ 8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง
มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้ 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
อริยสัจ 4 นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

กิจในอริยสัจ 4

กิจในอริยสัจ คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่
  1. ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
  2. ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
  3. สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
  4. ภาวนา - มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา
กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจในอริยสัจนี้เรียกว่ากิจญาณ
กิจญาณเป็นส่วนหนึ่งของญาณ 3 หรือญาณทัสสนะ (สัจญาณ, กิจญาณ, กตญาณ) ซึ่งหมายถึงการหยั่งรู้ครบสามรอบ ญาณทั้งสามเมื่อเข้าคู่กับกิจในอริยสัจทั้งสี่จึงได้เป็นญาณทัสนะมีอาการ 12 ดังนี้
  1. สัจญาณ หยั่งรู้ความจริงสี่ประการว่า
    1. นี่คือทุกข์
    2. นี่คือเหตุแห่งทุกข์
    3. นี่คือความดับทุกข์
    4. นี่คือทางแห่งความดับทุกข์
  2. กิจญาณ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
    1. ทุกข์ควรรู้
    2. เหตุแห่งทุกข์ควรละ
    3. ความดับทุกข์ควรทำให้ประจักษ์แจ้ง
    4. ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น
  3. กตญาณ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
    1. ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
    2. เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
    3. ความดับทุกข์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว
    4. ทางแห่งความดับทุกข์ได้ปฏิบัติแล้ว

อ้างอิง

  • ราชบัณฑิตยสถาน. (2548). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. หน้า 65-66.

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อคติ 4

คำว่า อคติ แปลว่า ไม่เดิน, ไม่ไป หมายความว่า ไม่ควรเดิน ไม่ควรไป หรือไม่ควรประพฤติ อคติ ศัพท์นี้ตรงกับภาษาไทยว่า ความลำเอียง ความไม่เที่ยงธรรม, ความไม่ยุติธรรม
(ฐานะอันไม่พึงถึง, ทางความประพฤติที่ผิด, ความไม่เที่ยงธรรม, ความลำเอียง )
- wrong course of behavior; prejudice) มีอยู่ 4 อย่างคือ

1. ฉันทาคติ แปลว่า ลำเอียงเพราะรัก (prejudice caused by love or desire; partiality)
2. โทสาคติ แปลว่า ลำเอียงเพราะเกลียด (prejudice caused by hatred or enmity)
3. โมหาคติ แปลว่า ลำเอียงเพราะเขลาหรือเพราะความโง่หลงงมงาย
ไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ว่าอย่างไร ถูกอย่างไรผิดอย่างไรควร อย่างไรไม่ควร (prejudice caused by delusion or stupidity)
4. ภยาคติ แปลว่า ลำเอียงเพราะกลัวหรือเพราะเกรงใจ (prejudice caused by fear)
ความลำเอียงทั้ง 4 ประการนี้ เป็นอันตรายอย่างมาก ทุกยุคทุกสมัยที่บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการปกครองบังคับบัญชาบุคคลอื่นด้วยแล้ว มีความลำเอียง (อคติ) อยู่เพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น ก็จะทำให้สูญเสียความยุติธรรมขาดความอบอุ่น ขาดความมั่นใจของคนที่เกี่ยวข้องเป็นผู้น้อย เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของบุคคลเหล่านั้น แต่ความลำเอียง (อคติ) ทั้ง 4 อย่างนี้ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั่น แม้แต่ผู้น้อยหรือเด็กๆ ก็อาจจะเกิดความลำเอียง (อคติ) ขึ้นมาได้เหมือนกัน เหตุนั้นพระองค์จึงตรัสเพื่อลดอคติและสร้างเสริมความเมตตาในกันและกัน ร่มกันเร่งปฏิบัติสรรพกิจการงานให้ประสานเกื้อกูลกัน เพื่อทุกคนจะได้สามารถนำพาประเทศชาติให้ก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง และบรรลุถึงความวัฒนาผาสุกได้โดยสวัสดิ์ดี


http://www.intaram.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=538759434&Ntype=19




พระพุทธศาสนานั้น สอนความจริงเป็นกลางไม่ขึ้นต่อบุคคล กลุ่ม เหล่า พรรคพวก

วิบัติ 4

วิบัติ 4

สีลวิบัติ ความวิบัติแห่งศีล ความวิบัติแห่งศีล

อาจารวิบัติ ความวิบัติแห่งอาจาระความวิบัติแห่งอาจาระ ได้แก่ท่านผู้ปฏิญาณตน

ทิฏฐิวิบัติ ความวิบัติแห่งทิฏฐิสัมมาทิฏฐิ แปลว่าความเห็นชอบ

อาชีววิบัติ ความวิบัติแห่งอาชีวะ เลี้ยงชีวิตในทางที่ผิดเรียกว่า มิจฉาอาชีวะ

ความวิบัติแต่ละอย่างนั้น สร้างความตกต่ำให้เกิดขึ้นในชีวิตและจิตใจของบุคคล ทำให้การประพฤติปฏิบัติของบุคคลเหล่านั้นเสื่อมถอยลงไป กุศลเสื่อมลง อกุศลเพิ่มขึ้นความทุกข์อันเป็นผลมาจากอกุศลก็ติดตามมา ดังนั้น จึงทรงสอนให้บุคคลพยายามรักษาศีลคืออาการทางกาย วาจา ของตนให้เรียบร้อย อาจาระ คือ ความประพฤติปฏิบัติของตนให้ดีงาม ทิฏฐิ คือควบคุมความคิดเห็นของตนให้ตรงตามทำนองคลองธรรม และพยายามเลี้ยงชีวิตของตนในทางที่ชอบ ไม่หลอกลวง ฉ้อโกงคนอื่นมาเลี้ยงชีวิต เพื่อให้เกิดเป็นผลที่ดีงามแก่ตนเองและบุคคลอื่น.

http://www.bp-smakom.org/bp_school/social/Viban4.htm

ศรัทธา 4

ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ
  • กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง.                                                                        คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น
  • วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง                                                                  คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว
  • กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน                                                                                 เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน
  • ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต                                                     ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้

สิ่ง 4 ประการ เหล่านี้ ไม่ควรดูหมิ่นว่าเล็กน้อย


สมัยหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลถามว่า “สมณพราหมณ์บางพวกเป็นคณาจารย์ เป็นเจ้าลัทธิ มีเกียรติ มีชื่อเสียง ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถนาฏบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นเมื่อถูกข้าพระองค์ถามก็ยังมิกล้าปฏิญาณตนได้ว่าตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ส่วนพระโคดมผู้เจริญยังมีชันษาอยู่ในวัยหนุ่ม และเป็นผู้ใหม่ในบรรพชิต ไฉนจึงกล้าปฏิญาณได้เล่า”



ดูก่อนมหาบพิตร สิ่ง ๔ ประการ เหล่านี้ ไม่ควรดูหมิ่นว่าเล็กน้อย” คือ

๑. กษัตริย์ ไม่ควรดูหมิ่นว่ายังทรงพระเยาว์

๒. งู ไม่ควรดูหมิ่นว่าตัวเล็ก

๓. ไฟ ไม่ควรดูหมิ่นว่ากองเล็ก

๔. ภิกษุ ไม่ควรดูหมิ่นว่ายังใหม่ต่อเพศบรรพชิต


http://www.watthaichetavan.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=538706834&Ntype=1

บุคคล 4

บุคคล ๔ จำพวก คือ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยย ปทปรมะ ก็เปรียบเหมือนดอกบัว ๔ เหล่านั้นแล. ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น
บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลาที่ท่านยกขึ้นแสดง ชื่ออุคฆฏิตัญญู.
บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกความแห่งคำย่อโดยพิสดาร ชื่อว่าวิปจิตัญญู.
บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับด้วยความพากเพียรท่องจำ ด้วยการไต่ถาม ด้วยทำไว้ในใจโดยแบบคายด้วยคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร ชื่อว่าเนยย.
บุคคลที่ไม่ตรัสรู้ธรรมได้ในชาตินั้น แม้เรียนมาก ทรงไว้มาก สอนเขามาก ชื่อว่าปทปรมะ

ปธาน4

ปธาน4



ความเพียรที่ชอบเป็นสัมมาวายามะ มี ๔ อย่าง คือ
๑. สังวรปธาน เพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
๒. ปหานปธาน เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
๓. ภาวนาปธาน เพียรเจริญทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้เสื่อมไปและให้เพิ่มไพบูลย์;
http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ปธาน_๔

ฆราวาสธรรม๔

 
สัจจะ แปลว่า จริง ตรง แท้ มีความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐาน เป็นคนจริงต่อความเป็นมนุษย์ของตน ทมะ แปลว่า ฝึกตน ข่มจิต และรักษาใจ บังคับตัวเองเพื่อลดและละกิเลส และรักษาสัจจะ ขันติ แปลว่า อดทน ไม่ใช่แพียงแต่อดทนกับคำพูดหรือการกระทำของผู้อื่นที่เราไม่พอใจ แต่หมายถึงการอดทนอดกลั้นต่อการบีบบังคับของกิเสส จาคะ แปลว่า เสียสละ บริจาคสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในตน โดยเฉพาะกิเลสเพราะนั้นคือสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่กับตน ละนิสัยไม่ดีต่างๆ

สังคหวัตถุ 4

สังคหวัตถุ 4 มีด้วยกัน 4 ประการคือ

1. ทาน คือ การให้

2. ปิยวาจา คือ การพูดถ้อยคำที่เป็นที่รัก

3. อัตถจริยา คือ การทำตนให้เป็นระโยชน์

4. สมานัตตา คือ การวางตนให้สม่ำเสมอ

http://www.kusolsuksa.com/webboard/index.php?topic=1604.0

อิทธิบาท4

อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น

ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน

พรหมวิหาร 4

ความหมายของพรหมวิหาร 4-

พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่

พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน

เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่






เมตตา

ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข


กรุณา

ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์


มุทิตา

ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี


อุเบกขา

การรู้จักวางเฉย








มหาปณิธาน 4

มหาปณิธาน 4
มหาปณิธาน 4 ประกอบด้วย
  1. เราจะละกิเลสให้หมด
  2. เราจะศึกษาสัจธรรมให้จบ
  3. เราจะช่วยโปรดสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
  4. เราจะบรรลุพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุด